จับไมค์ใส่ขนนก : นักแต่งเพลง 2
เมื่อมีการแข่งขันกันอย่างกว้างขวาง นักแต่งเพลงก็พยายามสร้างจุดเด่นประจำตัว ให้กับนักร้องของตน เพื่อเป็นที่จดจำและสร้างจุดขาย ตลอดจนแต่งเพลง ที่มีเนื้อหาสะดุดใจผู้ฟัง เช่น เพลงหนูไม่รู้ เพลงกระแซะเข้ามาซิ ของ พุ่มพวง ดวงจันทร์ เพลงเลิกแล้วค่ะ ของ อาภาพร นครสวรรค์ พยงค์ มุกดา
การประพันธ์เพลงให้กับนักร้องโดยทั่วไปจะมีอยู่ 2 วิธี คือ ประพันธ์เพลงไว้ก่อน แล้วจึงหานักร้องภายหลัง และประพันธ์เพลงตามลักษณะของนักร้อง โดยศึกษาจากน้ำเสียง ระยะความกว้างของเสียงสูงเสียงต่ำ รวมทั้งบุคลิกลักษณะ ผู้ประพันธ์ต้องถ่ายทอดผลงานต่อให้กับนักร้อง เพื่อให้รู้เนื้อเพลง จังหวะ ทำนอง ตลอดจนใส่อารมณ์เข้าไปในการร้อง เรียกว่า "การต่อเพลง" ในสมัยก่อน นักร้องจะร้องต่อเพลงโดยตรงจากผู้ประพันธ์ เนื่องจากยังไม่มีเทปคาสเซ็ตต์ จะต่อเพลงได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความจำของผู้ร้อง จนเมื่อได้ครบทั้งเพลง ก็จะแยกไปฝึกด้วยตนเอง จนกว่าจะมีการบันทึกเสียง แต่ในปัจจุบัน มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วย จึงทำให้การต่อเพลงมีความสะดวกมากขึ้น
จับไมค์ใส่ขนนก : หางเครื่อง 2
หางเครื่อง 2
จินตนา ดำรงค์เลิศ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กล่าวถึง หางเครื่อง โดยนำมาจากหนังสือ "กึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย ภาค 2" ตอนหนึ่งมีใจความว่า ในตอนแรกผู้ที่ออกมาเขย่าหางเครื่อง มีทั้งหญิงและชาย บางครั้งเป็นตัวตลกประจำวง ต่อมา จึงพัฒนาขึ้น โดยใช้หญิงสาวสวย ๆ ออกมาเขย่าหางเครื่อง แต่ยังไม่ออกลีลาเต้น การแต่งกายสุดแล้วแต่เจ้าตัวจะใส่ ต่อมาช่วง พ.ศ. 2509 - 2510 ผู้ที่ออกมาเขย่าหางเครื่องประกอบจังหวะการร้องเพลงลูกทุ่ง มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 4 - 7 คน การแต่งกายเหมือนกันโดยใช้ชุดเดียวตลอดการแสดง วงดนตรีสุรพล สมบัติเจริญ และวงสมานมิตร เกิดกำแพง มีหางเครื่องเป็นที่กล่าวขวัญ ต่อมาวงดนตรีของศรีนวล ภรรยาของสุรพล สมบัติเจริญ ได้จัดผู้เต้นระบำประกอบเพลงโดยใช้ผู้เต้นประมาณ 10 คน มีลีลาการเต้นแบบระบำฮาวาย หลังจากนั้น วงดนตรีลูกทุ่งก็ได้มีการแข่งขันด้านหางเครื่อง การแสดงของวงดนตรีใหญ่ๆ จะมีหางเครื่องเต้นประกอบทุกเพลง และเปลี่ยนเครื่องแต่งกายทุกเพลง จำนวนผู้เต้นประมาณ 15 - 16 คน แต่ถ้าเป็นเพลงเด่นจะมีถึง 40 คน
จับไมค์ใส่ขนนก : คุณค่าของเพลงลูกทุ่งไทย
คุณค่าของเพลงลูกทุ่งไทย
ขออัญเชิญพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเรื่อง ลูกทุ่งกับเพลงไทย ที่ทรงกล่าวถึงความดี ของเพลงลูกทุ่ง ตอนหนึ่งว่า
"พอจะสรุปว่าเพลงลูกทุ่งมีความดีหลายประการ คือ
- เป็นหลักฐานของข้อมูลทางประวัติศาสตร์สังคมของประเทศ
- เป็นที่รวมของภูมิปัญญาและทรัพย์สินทางปัญญาของชาวบ้าน
- เป็นเพลงที่เรียบง่าย เข้าใจง่าย ร้องง่าย จำง่าย
- สามารถเข้าถึงสังคมทุกชั้น กระจายได้กว้างไกลถึงชนบททุกแห่ง
- มีความเป็นไทยทั้งในเรื่องของภาษา ทำนอง และการขับร้อง"
เพลงลูกทุ่งไทยมีคุณลักษณะโดดเด่นเฉพาะตัวทั้งในด้านการออกเสียง และการใช้ภาษา นับเป็นการอนุรักษ์ภาษาไทย ซึ่งเป็นภาษาประจำชาติไทย จึงควรช่วยกันอนุรักษ์เพลงลูกทุ่งไทย เพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ของชาติไทยสืบไป