- TH NDMI EXH-SPC-02-04
- Series
Part of แผนผังและภาพถ่ายนิทรรศการ
Part of แผนผังและภาพถ่ายนิทรรศการ
นิทรรศการถาวร ชุด เรียงความประเทศไทย
Part of แผนผังและภาพถ่ายนิทรรศการ
กรอบแนวคิดของการจัดนิทรรศการภายใน นิทรรศการผ่านการเล่าเรื่อง (Story telling) นับแต่อดีตถึง
ปัจจุบันของผู้คนและดินแดนในอุษาคเนย์และในประเทศไทย
เพื่อ
หัวข้อนิทรรศการ
๑. รู้จักสุวรรณภูมิ แสดงด้วยหลักฐานและเรื่องราวสำคัญดังต่อไปนี้
ภาพแผนที่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด แสดงให้เห็นลักษณะของภูมิประเทศจากที่สูงในเขตภูเขามายังที่ราบต่ำและชายทะเลที่สัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานของผู้คนในสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่แตกต่างกันออกไป อันสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายทางชีวภาพและชาติพันธุ์
กำหนดตำแหน่งของชุมชนหมู่บ้านในยุคสำริดและชุมชนบ้านเมืองในยุคเหล็กที่อยู่ในบริเวณผืนแผ่นดินใหญ่ คือ มาเลเซีย ไทย พม่า เขมร ลาว และเวียดนาม [ตำแหน่งดูจากหนังสือไฮแอม] เน้นตำแหน่งของชุมชนโบราณในยุคสำริดและเหล็ก อันได้แก่ ท่าแค โคกพลับ ดอนตาเพชร จันเสน บ้านปราสาท บ้านเชียง ถ้ำผีแมน
ท่าแค แสดงตำแหน่งที่ตั้งและสภาพแวดล้อม ให้เห็นกลุ่มเขาสามยอดและที่ลาดลงสู่แม่น้ำลพบุรี แสดงภาพเนินดินที่ถูกทำลายแต่เผยให้เห็นชั้นดินที่อยู่อาศัย แสดงการขุดค้นและหลักฐานที่พบ เช่น ภาชนะดินเผา ตะกรันทองแดงและเหล็ก เครื่องประดับที่ทำด้วยเปลือกหอย หินมีค่า สำริด และศิลปวัตถุที่ได้รับอิทธิพลอารยธรรมอินเดียและการสืบเนื่องมาจนเกิดเมืองละโว้
จันเสน แสดงตำแหน่งแหล่งโบราณคดีที่อยู่ใกล้ที่ราบลุ่มต่ำที่บ้านใหม่ชัยมงคล สภาพการถูกขุดคุ้ยทำลายที่เต็มไปด้วยกองกระดูก หลักฐานจากสมัยก่อนเหล็กมาจนถึงสมัยเหล็ก แล้วต่อด้วยการเกิดเมืองจันเสนในสมัยทวารวดี
โคกพลับ แสดงแหล่งฝังศพในชุมชนลุ่มน้ำลำคลองใกล้ทะเลในยุคก่อนเหล็กหรือสำริด การขุดค้นที่พบโครงกระดูก มีเครื่องประดับที่ทำด้วยหินมีค่า เช่น ตุ้มหูที่มีตุ่มแหลมประดับ หวีกระดูกสัตว์ ก่องแขนสำริด แหล่งโบราณคดีแห่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการติดต่อทางทะเลจากชายทะเลในเขตเวียดนามเหนือและจีนตอนใต้ในสมัยก่อนเหล็ก เพิ่มเติมด้วยการจำลองตุ้มหูหินมีค่าที่มีปุ่มแหลมและหวีกระดูกสัตว์ที่เป็นแบบของจีนแต่สมัยราชวงศ์โจวขึ้นไป
ดอนตาเพชร แสดงตำแหน่งของชุมชนและแหล่งฝังศพที่อยู่ในบริเวณต้นน้ำจระเข้สามพันที่ต่อเนื่องไปจนบริเวณเมืองอู่ทอง แสดงโบราณวัตถุที่พบจากการขุดค้นและการรวบรวมของคนในท้องถิ่น ได้แก่
• เครื่องมือเหล็กรูปแบบต่างๆ ที่แสดงให้เห็นถึง specialization อันสะท้อนให้เห็นระดับความเจริญของชุมชนในลักษณะที่เป็นสังคมเมือง
• เครื่องประดับและวัตถุทางสัญลักษณ์ที่ทำด้วยสำริดหล่อบาง เช่น ภาชนะที่มีภาพควาย ผู้หญิงที่แสดงทรงผม เสื้อผ้า โบราณวัตถุชิ้นนี้นำไปเชื่อมกับชิ้นที่พบที่จอมบึงที่มีภาพรูปร่างผู้หญิงที่มีสรีระแบบหญิงอินเดีย ภาพของสัตว์ เช่น ช้าง ม้า และอื่นๆ ที่เป็นของร่วมสมัย สุ่มไก่ และนกยูง รวมทั้งลวดลายก้านขดที่สัมพันธ์กับวัฒนธรรมดองซอน
• แสดงเครื่องประดับที่ทำด้วยหินมีค่าและแก้วสี เช่น ลูกปัดแต่งสี (เอชบีด แบบต่างๆ ที่สัมพันธ์กับวัฒนธรรมอินเดีย ตุ้มหูแบบ ลิง-ลิง-โอ ที่มาจากวัฒนธรรมซาหวิ่น (ก่อนจาม) จากเวียดนาม
• ทำหุ่นจำลองของ ลิง-ลิง-โอ ที่ทำด้วยหินเขียวและคาร์นีเลียนให้เป็นสัญลักษณ์ของทางตะวันออกมาพบกับหุ่นจำลองของลูกปัดสิงห์ที่ทำด้วยหินคาร์นีเลียนอันเป็นสัญลักษณ์ของทางตะวันตก เช่น อินเดีย
• ลิง-ลิง-โอ คือ ควายหรือสัตว์มีเขา
สิงห์ คือ สัตว์เนรมิตที่มาจากสิงโตซึ่งกลายเป็นราชสีห์
บ้านปราสาท แสดงตำแหน่งที่ตั้งของทุ่งสำริดอันเป็นที่ราบลุ่มอุดมไปด้วยแหล่งผลิตเกลือและการถลุงเหล็ก แสดงชั้นดินที่อยู่อาศัยลึกลงไปจนถึง ๔-๖ เมตร แสดงโบราณวัตถุ เช่น ภาชนะดินเผา เครื่องประดับและเครื่องมือเครื่องใช้ที่มีพัฒนาการมาแต่สมัยแรก (ภาชนะปากแตร) มาจนถึงสมัยกลาง คือสมัยพิมายต่อเรื่อยมาจนถึงสมัยเจนละและลพบุรี แสดงภาพรวมของการกระจายตัว ชุมชนบ้านและเมือง ที่ต่อมามีเมืองพิมายเป็นศูนย์กลาง
แสดงโครงกระดูกมนุษย์สมัยเหล็กตอนปลายที่มีเครื่องประดับและเครื่องเซ่นศพอันสะท้อนให้เห็นสถานภาพทางสังคมและระดับความเจริญของบ้านเมืองจากแหล่งโบราณคดีที่ไฮแอมขุด
บ้านเชียง แสดงตำแหน่งที่ตั้งของชุมชนและสภาพแวดล้อมที่สัมพันธ์กับป่าละเมาะ ลำน้ำลำห้วย หนองน้ำและที่ราบลุ่ม แสดงให้เห็นโบราณวัตถุหลายยุคหลายสมัยที่นอกจากมีรูปแบบสัมพันธ์กับผู้คนในดินแดนภายนอก เช่น จากชายทะเลและจีนตอนใต้แล้ว ยังเป็นชุมชนที่มีวามโดดเด่นในเรื่องสุนทรีย์ อันสะท้อนให้เห็นจากลวดลายเขียนสีบนภาชนะดินเผาที่ไม่เหมือนในที่อื่นๆ ในประเทศไทย
ถ้ำผีแมน แสดงให้เห็นตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ การกระจายตัวของถ้ำในเขตแม่ฮ่องสอนที่แสดงการเคลื่อนไหวของคนภายนอกในเรื่องการตั้งถิ่นฐานและการแลกเปลี่ยนของป่า เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงสังคมของคนบนที่สูงในหุบเขาตั้งแต่เหนือลงมาจนถึงกาญจนบุรี
• แสดงภาพเพิงผาที่ประกอบพิธีกรรม ภาพเขียนสีและโลงไม้ รวมทั้งเครื่องประดับและเครื่องมือเครื่องใช้
• แสดงสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์คือ รูปคนทำตัวเป็นกบ อาจเสริมด้วยภาพจากแหล่งพิธีกรรมภาพเขียนสีหรือสลักหินในที่อื่นๆ เช่น ผาแต้ม ประตูผา และภูผายนต์ เป็นต้น
• สิ่งที่ควรนำมาจัดแสดงให้เห็นเป็นสัญลักษณ์ของท้องถิ่นก็คือ ภาชนะดินเผาบ้านเชียง บ้านปราสาท แบบปากแตรและพิมายดำ ท่าแค โลงผีแมน
• แสดงภาพผู้คนท้องถิ่นให้แลเห็นหน้าตา ทรงผม และเครื่องแต่งกาย โดยเฉพาะผู้ชายที่นุ่งผ้าเตี่ยว แต่ในงานพิธีกรรมมีผ้าชายไหว ชายแครง ให้แลเห็นการใช้เครื่องประดับหัวด้วย เพราะเป็นการบอกสถานภาพทางสังคม
๒. พุทธศาสนามายังสุวรรณภูมิ
ชื่อสุวรรณภูมิมาจากคนตะวันตก โดยเฉพาะคนอินเดียที่เดินทางด้วยเรือสำเภามาค้าขายในดินแดนที่เห็นว่ามีความมั่งคั่ง อารยธรรมจากภายนอกโดยเฉพาะอินเดียจึงมากับผู้คนที่เข้ามาค้าขายและตั้งถิ่นฐาน เพราะดินแดนนี้มีผู้คนอยู่น้อยมาแต่ดึกดำบรรพ์
การเคลื่อนย้ายของผู้คนจากภายนอกทุกสารทิศมีมาแต่สมัยยุคสำริดเป็นต้นมา คนที่เข้ามาเหล่านี้ส่วนใหญ่มีความเจริญในด้านเทคโนโลยีและสังคมวัฒนธรรมอยู่แล้ว
ครั้นถึงยุคเหล็กก็มีพัฒนาการเป็นบ้านเล็กเมืองน้อยอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะมีการรวมกลุ่มกัน โดยมีหัวหน้าปกครองที่พร้อมจะพบปะติดต่อกับคนจากภายนอกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานหรือค้าขายในระดับเสมอภาค จึงทำให้การรับวัฒนธรรมจากภายนอกมีลักษณะเป็นการเลือกเฟ้นเพื่อให้เหมาะสมกับท้องถิ่นของตนเอง
ในพุทธศตวรรษที่ ๔ อินเดียมีพระมหาราชที่ยิ่งใหญ่ ทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาให้เป็นศาสนาของโลก จึงทรงสั่งสมณทูตไปเผยแพร่ในภูมิภาคต่างๆ ทั้งทางบกและทางทะเล
หนึ่งในสมณทูตดังกล่าว คือ พะโสณะและพระอุตระ ที่เข้ามาสุวรรณภูมิทางทะเล บริเวณที่เข้ามานั้น จากหลักฐานทางโบราณคดีและตำแหน่งภูมิศาสตร์น่าจะอยู่บริเวณที่เรียกว่า แหลมทอง อันอยู่ในคาบสมุทรไทยต่อคาบสมุทรมลายู นั่นคือ บริเวณตอนเหนือของคายสมุทรมลายู ตั้งแต่จังหวัดปัตตานีขึ้นมาจนถึงลุ่มน้ำเจ้าพระยาของประเทศไทย
เพราะตั้งอยู่ระหว่างการค้าจากตะวันตกมาตะวันออก การค้าสำเภาในสมัยสุวรรณภูมิ นั้น จากตะวันตกไปตะวันออกหาได้เดินทางทะเลด้วยสำเภารวดเดียวไม่ หากเป็นการเป็นการเดินทางจากเมืองท่าในอินเดีย ลังกา หรือที่อื่นจากกรีกและโรมันข้ามอ่าวเบงกอลในทะเลอันดามันมายังเมืองท่าในคาบสมุทรไทยแล้วจึงขนถ่ายสินค้าข้ามเส้นทางข้ามคาบสมุทรมายังเมืองท่าบนฝั่งอ่าวไทยในเขตทะเลจีน เส้นทางข้ามคาบสมุทรมีหลายเส้น
เส้นเหนือสุดคือ ทวาย ตะนาวศรี มายังประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี
เส้นต่ำไปจากบริเวณชายฝั่งทะเลในอ่าวพังงามายังอ่าวบ้านดอนและนครศรีธรรมราช
และเส้นต่ำสุดคือจากเปรัคและไทรบุรีในเขตประเทศมาเลเซียมายังอ่าวปัตตานี ทำให้พื้นที่ใกล้ทะเลทั้งฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกที่อยู่ในจุดเริ่มต้นและปลายทางของเส้นทางข้ามคาบสมุทรเป็นบริเวณที่เกิดชุมชนบ้านเมืองขึ้น แต่โดยสภาพทางภูมิศาสตร์ที่จุดสมบูรณ์เป็นที่ตั้งหลักแหล่งของบ้านเมืองมักอยู่ทางฝั่งตะวันออก เพราะนอกจากมีที่ราบชายทะเลและคลื่นลมที่สงบแล้ว ยังขานรับกับการเคลื่อนย้ายของคนจากภาคใต้ของประเทศจีนเข้ามาตั้งหลักแหล่งและแลกเปลี่ยนสินค้าตั้งแต่สำริดลงมาด้วย การแสดงนิทรรศการในตอนนี้ จะมีดังนี้
• แผนที่ภูมิประเทศของคายสมุทรไทยที่แสดงเส้นทางการค้าและคมนาคมทางทะเล จากเมืองท่าชายทะเลฝั่งตะวันออกของอินเดียและลังกา มายังฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรไทย แสดงตำแหน่งของเมืองท่าและชุมชนโบราณบนเส้นทางข้ามคาบสมุทรจากฝั่งตะวันตกไปตะวันออก รวมทั้งบรรดาตำแหน่งเมืองท่ารอบๆ อ่าวไทยไปจนถึงปากแม่น้ำโขงและชายทะเลของประเทศเวียดนามตอนกลาง
• แสดงภาพของเรือสำเภาและเรือสินค้าของคนพื้นเมืองในยุคพุทธกาลและยุคต้นประวัติศาสตร์ โดยดูตัวอย่างจากภาพสลักที่บูโรพุทธ ภาพในดวงตราดินเผาที่พบที่คลองท่อมและที่นครปฐม ดูลักษณะโครงสร้างจากเรือของคนพื้นเมืองที่มี out trigger ประกบ เรือใบสามเสามี out trigger เป็นต้น
• แสดงภาพภูมิประเทศของเมืองท่าสมัยสุวรรณภูมิ ทั้งฝั่งทะเลอันดามันและฝั่งทะเลจีน อันได้แก่ สะเทิม คลองท่อม อู่ทอง และออกแอว
๓. ทวารวดี – ศรีวิชัย
การรับอารยธรรมอินเดียในด้านศาสนา อักษรศาสตร์ รัฐศาสตร์ และศิลปะวิทยาการต่างๆ ของคนสุวรรณภูมินั้น หาได้เป็นไปในลักษณะที่คนในอินเดียเข้ามามีอำนาจครอบงำให้ยอมเชื่อและยอมรับไม่ หากเป็นการที่ผู้นำของบ้านเมืองแต่ละแห่ง ได้เลือกเฟ้นรูปแบบวัฒนธรรมที่เหมาะสมกับสังคมท้องถิ่นของคนเข้ามา
เหตุที่รับวัฒนธรรมอินเดียเพราะ วัฒนธรรมอินดียมีเกียรติภูมิสูงกว่าวัฒนธรรมท้องถิ่น จึงมีศักยภาพในการสื่อสารได้มากกว่า ทำให้สามารถบูรณาการความหลากหลายทางวัฒนธรรม อันเนื่องมาจากความแตกต่างทางชาติพันธุ์ของผู้คนในบ้านเมืองได้
ศาสนา ความเป็นกษัตริย์ และอักษรศาสตร์ จากอินเดีย จึงกลายเป็นสิ่งที่ผู้นำบ้านเมืองแต่ละแห่งรับไปใช้เหมือนกัน ด้วยการเชื้อเชิญพระสงฆ์ พราหมณ์ และปราชญ์ราชบัณฑิตที่เป็นคนอินเดียเข้ามาเป็นที่ปรึกษาในราชสำนัก
เรื่องของศาสนาแต่ละบ้านเมืองอาจจะแตกต่างกันออกไป บางเมืองเลือกพระพุทธศาสนามาเป็นศาสนาหลัก โดยมีศาสนาฮินดูและลัทธิศาสนาอื่นรองลงไป แต่บางแห่งก็เลือกศาสนาฮินดูและพุทธมหายานเป็นสำคัญกว่าศาสนาอื่น เป็นต้น
ในขณะที่ระบบกษัตริย์มีความคล้ายคลึงกันและใช้ภาษาสันสกฤตและบาลีเป็นภาษาศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาและราชการเหมือนกัน เป็นเหตุให้กษัตริย์ในแต่ละบ้านเมืองสื่อสารและสัมพันธ์กันได้ นั่นคือ อารยธรรมอินเดียในรูปของศาสนา ระบบกษัตริย์ การปกครอง และอักษรศาสตร์ สามารถสลายความเป็นเผ่าพันธุ์ดั้งเดิมของผู้นำให้หมดไป ทำให้อยู่เหนือระดับความเป็นชาติพันธุ์ที่มีอยู่หลากหลายในบ้านเมือง เข้าสู่สถานภาพที่ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ และเข้าสู่ความเป็นบุคคลชั้นเดียวกับบรรดาผู้นำที่เป็นกษัตริย์ในบ้านเมืองอื่น
ความเป็นประเภทเดียวกันนี้ เป็นสิ่งนำไปสู่ความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างกษัตริย์ต่างเมืองกัน ความสัมพันธ์ทางสังคมที่โดดเด่นก็คือ การแต่งงานระหว่างกัน ที่มีผลนำไปสู่การรวมบ้านเมืองคู่สัมพันธ์ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้นำไปสู่การสืบราชสมบัติและสร้างเครือข่ายระหว่างเมืองต่างๆ ให้รวมกันเป็นกลุ่มเป็นรัฐขึ้นมา
ศาสนา ลัทธิการปกครองแบบกษัตริย์ อักษรศาสตร์ และพิธีกรรมในอารยธรรมอินเดียที่ได้รับการปลูกฝังตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๔ นั้น ได้เติบโตเป็นรูปธรรมขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๖-๗ อันเป็นเวลาที่มีการติดต่อกับจีนเพิ่มขึ้นในสมัยราชวงศ์ฮั่น จีนขยายอำนาจเข้าสู่เวียดนามเหนือ แต่การค้าของจีนที่ผ่านเวียดนามกลางมาจนปากแม่น้ำโขงและอ่าวไทย รวมทั้งกับบรรดาบ้านเมืองในเกาะสุมาตราและชวา ได้ทำให้เกิดการรวมตัวของบ้านเมืองในสุวรรณภูมิขึ้นเป็นเป็นแว่นแคว้นใหญ่น้อยมากมาย
ในระยะนี้มีจดหมายเหตุจีนกล่าวถึงบรรดาแคว้นเหล่านี้ไว้ค่อนข้างชัดเจน แต่ส่วนใหญ่เป็นแคว้นและรัฐใกล้ทะเลที่สัมพันธ์กับเส้นทางการค้าทางทะเล ในการรับรู้ของจีนในขณะนั้น ระบุว่าแคว้นใหญ่ที่สำคัญที่มีการขยายอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจไปครอบงำแคว้นอื่นๆ นั้นคือ แคว้น ฟูนัน เป็นแคว้นที่มีการนับถือทั้งพุทธศาสนาและศาสนาฮินดู มีการส่งทูตไปเมืองจีน จากหลักฐานทางโบราณคดี ศูนย์กลางของฟูนันอยู่ใกล้ปากแม่น้ำโขง มีเมืองออกแอวเป็นเมืองท่าและเมืองอังกอร์เบอเรยเป็นเมืองศูนย์กลางของรัฐ จดหมายเหตุจีนกล่าวถึงการรุกรานของฟูนันมายังบ้านเมืองในอ่าวไทย แคว้นกิมหลินที่แปลว่า แผ่นดินทอง เมืองสำคัญของกิมหลินตามหลักฐานทางโบราณคดีน่าจะเป็น เมืองอู่ทอง
พัฒนาการของรัฐฟูนันและรัฐร่วมสมัยตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๗ ตามที่กล่าวถึงในจดหมายเหตุจีนยุคแรกๆ นั้น สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของบ้านเมืองใกล้ทะเล บนเส้นทางการค้าและการคมนาคมจากตะวันตก คือ จากอินเดียเข้าสู่แหลมทอง ข้ามคาบสมุทรโดยทางบกสู่เมืองท่าทางฝั่งตะวันออก แล้วผ่านอ่าวไทยไปปากแม่น้ำโขง ไปเวียดนาม และจีนตามลำดับ
จนพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ ความเป็นรัฐใหญ่และอำนาจทางทะเลของฟูนันก็เสื่อมไป เพราะการขยายตัวทางการค้าทั้งทางทะเลและเส้นทางการค้าภายในของภูมิภาค ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดแคว้นใหญ่ๆ ขึ้นมาอีกหลายแคว้น ดังในจดหมายเหตุจีนสมัยราชวงศ์ถัง ที่มีพระภิกษุจีนองค์สำคัญ ๒ องค์ คือ หลวงจีนฟาเหียนและหลวงจีนเหี้ยนจัง ที่รู้จักกันในนามพระถังสัมจั๋ง เดินทางไปสืบพระพุทธศาสนาที่อินเดีย องค์แรกเดินทางโดยทางทะเลที่ผ่านอ่าวไทย ส่วนองค์หลังเดินทางบกผ่านภูเขาและทะเลทรายไปทางเหนือ แต่ทั้งสององค์ได้บันทึกถึงแคว้นใหญ่แคว้นสำคัญในพื้นแผ่นดินใหญ่ของสุวรรณภูมิอย่างชัดเจนเหมือนกัน คือ แคว้นศรีเกษตร ในลุ่มน้ำอิรวดีในประเทศพม่า แคว้นนครชัยศรีในลุ่มน้ำแม่กลอง-ท่าจีน แคว้นทวารวดีในลุ่มน้ำลพบุรี-ป่าสัก แคว้นอีสานปุระในลุ่มแม่น้ำโขง และแคว้นมหาจัมปาที่อยู่ใกล้ทะเลในประเทศเวียดนาม
จากหลักฐานทางโบราคดีซึ่งเป็นหลักฐานภายในนั้น แสดงให้เห็นว่า ศรีเกษตร นครชัยศรี ทวารวดี เป็นรัฐที่นับถือพุทธศาสนาเถรวาทเป็นศาสนาหลัก ส่วนอิสานปุระและมหาจัมปา ให้ความสำคัญกับศาสนาฮินดูและพุทธมหายาน
• แสดงแผนที่ภูมิประเทศของอุษาคเนย์ลงตำแหน่งของเมืองสำคัญ คือ ศรีเกษตร นครชัยศรี ละโว้ (ทวารวดี) สมโบร์ไพรกุก และอมราวดี (จาเกี้ยงและมีเชิน)
• แสดงภาพของโบราณสถานและโบราณวัตถุที่ให้เห็นความแตกต่างระหว่างพุทธเถรวาท พุทธมหายาน และฮินดู
• พุทธเถรวาทแสดงด้วยรูปแบบพระสถูปเจดีย์ทรงกลม พระพุทธรูปยืน พระพุทธรูปนั่งเก้าอี้ พระนอน ธรรมจักร พระพุทธรูปปางพนัสบดี เสมาอีสานที่แสดงภาพชาดกและพุทธประวัติ
• พุทธมหายาน แสดงด้วยปราสาท รูปเคารพพระพุทธรูปนาคปรก พระโพธิสัตว์ และรูปแบบของสัญลักษณ์
• ฮินดูแสดงด้วยรูปแบบของปราสาท รูปเคารพศิวลึงค์ เทวรูป พระวิษณุ นางทุรคา พระกฤษณะ ฯลฯ
ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๓ เป็นต้นมา ทีการขยายตัวทางการค้าทางทะเล และเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมมากขึ้นกว่าเดิม นั่นคือ ความก้าวหน้าทางพานิชย์นาวี ทำให้เกิดเรือสำเภาขนาดใหญ่ที่เดินทางไกลได้ดีกว่าเดิม ทำให้เส้นทางการค้าระหว่างตะวันตกและตะวันออกที่แต่เดิมใช้เส้นทางข้ามคาบสมุทรจากฝั่งทะเลอันดามันมายังฝั่งอ่าวไทย มาเป็นการเดินเรือจากทางตะวันตกผ่านช่องแคบมะละกามายังอ่าวไทยและทะเลจีน
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้เกิดรัฐที่มีอำนาจทางทะเลขึ้นมา ที่มีนามว่า ศรีวิชัย รัฐนี้มีฐานอำนาจอยู่ในเกาะสุมาตราและเกาะชวา และมีพัฒนาการขึ้นจากการรวมตัวของรัฐต่างๆ ที่อยู่ทั้งในหมู่เกาะและคาบสมุทร
ศรีวิชัยทำหน้าที่เป็นคนกลางในการค้าขายกับทางตะวันตกคืออินเดีย และทางตะวันออกคือจีน จึงเกิดความมั่งคั่งและมีอำนาจ ได้ขยายเส้นทางการค้าไปยังที่ต่างๆ ทั้งใกล้และไกล และสิ่งที่ตามมากับการค้าขายก็คือ การแพร่พุทธศาสนามหายานในพื้นแผ่นดินใหญ่สุวรรณภูมิ เช่น ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำโขง รวมทั้งภาคใต้ของประเทศไทย ได้เกิดเมืองท่าและเมืองภายในขึ้นหลายแห่ง อย่าเช่น เมืองคูบัว ในเขตจังหวัดราชบุรี นับเป็นเมืองสำคัญที่เกิดขึ้นในระยะนี้ ส่วนเมืองภายในได้แก่ เมืองศรีเทพในลุ่มน้ำป่าสักในหุบเขาเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นเมืองสำคัญบนเส้นทางการค้าและการคมนาคมข้ามเทือกเขาดงพญาเย็นสู่ที่ราบสูงโคราช พุทธศาสนามหายานแพร่หลายตามเส้นทางนี้ไปจนบริเวณเมืองพิมาย และบริเวณใกล้เคียงในเขตอำเภอลำปลายมาศและนางรอง ก่อนที่จะผ่านไปยังที่ราบลุ่มเขมรต่ำในเขตทะเลสาบเขมรของกัมพูชา
อิทธิพลของเส้นทางการค้าและการแพร่หลายของพุทธมหายานตามที่กล่าวนี้ยังส่งผลเข้าไปผสมผสานในเรื่องลัทธิความเชื่อของบรรดาบ้านเมืองที่เคยเป็นพุทธเถรวาทและฮินดูมากขึ้นด้วย
• แสดงแผนที่ภูมิประเทศในดินแดนประเทศไทยและประเทศใกล้เคียงให้เห็นถึงเส้นทางการคมนาคมและการเกิดเมืองสำคัญรุ่นใหม่ขึ้น เช่น เมืองคูบัว เมืองศรีเทพ เมืองฝ้าย เมืองพิมาย และเมืองปัตตานี เป็นต้น
• แสดงภาพเขียนพาโนรามา หุ่นจำลองของเมืองศรีเทพ ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นชุมชนที่นับถือศาสนาฮินดูมาก่อน ได้พัฒนาขึ้นใหญ่โตมีคูน้ำคันดินล้อมรอบขนาดใหญ่ มีการสร้างศาสนสถานขนาดใหญ่ที่เป็นพุทธขึ้นกลางเมืองที่เรียกว่า คลังใหญ่ ทางด้านตะวันตกของเมืองศรีเทพมีเขาศักดิ์สิทธิ์ชื่อ เขาถมอรัตน์ มีถ้ำที่ประดิษฐานพระพุทธรูปและเทวรูปพระโพธิสัตว์ในลัทธิมหายาน รวมทั้งแสดงให้เห็นเส้นทางคมนาคมจากเมืองโบราณในเขตจังหวัดชัยนาทมานครสวรรค์ ผ่านเขาถมอรัตน์มาแวะที่ศรีเทพ ก่อนเดินทางต่อไปยังบ้านเมืองในที่ราบสูงโคราช
• แสดงภาพโบราณวัตถุในคติมหายานที่พบในเขตพิมายและบุรีรัมย์ เช่น พระเศียร พระกร และพระชงค์ ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรสำริด ที่พบที่บ้านโตนด อำเภอโนนสูง และเทวรูปพระโพธิสัตว์ที่พบในกรุเขาปลายบัต จังหวัดบุรีรัมย์
• แสดงบ้านเมืองสมัยศรีวิชัยในภาคใต้ อันได้แก่ ไชยาและปัตตานี โดยเฉพาะปัตตานีนั้น แสดงให้เห็นผังของเมืองและศาสนสถานในเขตอำเภอยะรัง อันเป็นบริเวณที่เคยเป็นเมืองสำคัญของรัฐลังกาสุกะ
• แสดงการแพร่หลายของพระพิมพ์ที่สร้างขึ้นในลัทธิศาสนามหายานที่พบตามท้องถิ่นต่างๆ ในภาคใต้
ถึงสยามประเทศ
ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๕ อำนาจทางทะเลของศรีวิชัยเสื่อม เพราะเกิดการรบพุ่งกับพวกโจฬะจากอินเดียใต้ ผู้เป็นคู่แข่งในการค้าทางทะเลเหมือนกัน ในขณะเดียวกันทางจีนที่เป็นลูกค้ารายใหญ่ของศรีวิชัยก็หันไปค้าขายโดยตรงกับบ้านเมืองต่างๆ ที่เป็นแหล่งสินค้า โดยไม่ต้องให้ศรีวิชัยเป็นคนกลางที่ทำหน้าที่เป็นผู้ผูกขาด โดยเฉพาะการค้าทางตรงของจีนนี้ ได้ทำให้เกิดการค้าขายของคนในท้องถิ่นเพิ่มขึ้น เกิดบ้านเมืองใหม่ๆ ขึ้นมาก ทั้งมีการรวมตัวกันเป็นรัฐใหญ่ๆ ที่มีอำนาจในพื้นแผ่นดินใหญ่ขึ้นมาหลายแห่ง ที่สำคัญก็คือ กัมพูชาและพุกาม ต่างก็มีฐานะเป็นอาณาจักร
กัมพูชาเกิดขึ้นแทนที่รัฐเจนละเดิมในลุ่มแม่น้ำโขง มีราชธานีสำคัญอยู่ที่เมืองพระนคร ในขณะที่พุกามอยู่ทางตะวันตก พัฒนาขึ้นแทนรัฐพยู่ ที่มีเมืองศรีเกษตรเป็นศูนย์กลาง อาณาจักรพุกามริมฝั่งแม่น้ำอิรวดีตอนบน
ในดินแดนประเทศไทยซึ่งอยู่ขนาบด้วยกัมพูชาและพุกามนั้น รัฐเดิมที่เคยใหญ่โตมาก่อน คือ นครชัยศรีและทวารวดีลดความสำคัญลง อันเนื่องมาจากมีการเคลื่อนไหวของผู้คนจากภายนอกและภายในที่มีการขยายตัวทางการค้า ทำให้มีการสร้างบ้านแปลงเมืองกันขึ้นมากมายหลายแห่ง รวมทั้งมีการรวมตัวกันเป็นนครรัฐใหม่ๆ ที่มีความสำคัญอยู่ที่เมืองใหญ่ ได้แก่ นครศรีธรรมราช ปัตตานี สุพรรณภูมิ ละโว้ สุโขทัย หริภุญไชย โยนก เวียงจันทน์ เป็นต้น หลักฐานจากศิลาจารึกสุโขทัยและจดหมายเหตุจีน ชี้ให้เห็นว่า นครรัฐเหล่านี้มีการรวมตัวกันอย่างหลวมๆ ออกเป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มสยามที่จีนเรียกว่า เสียมก๊ก และกลุ่มละโว้หรือ หลอฮกก๊ก
ละโว้นับเนื่องเป็นปริมณฑลของอาณาจักรกัมพูชา แต่กลุ่มสยามเป็นอิสระและกระจายตัวอยู่ในพื้นที่ส่วนใหญ่ทั้งเหนือใต้และตะวันตก ที่คนภายนอกมักเรียกพื้นที่นี้ว่า สยามเทศะ หรือ สยามประเทศ และผู้คนที่อยู่ต่างเมืองแต่อยู่ในดินแดนเดียวกันว่า ชาวสยามหรือเสียม
แต่เหนืออื่นใด ความสำคัญของสยามนั้นหาใช่อยู่ที่พื้นที่หรือดินแดนแต่เพียงอย่างเดียว หากอยู่ที่มีผู้คนหลายชาติพันธุ์จากภายนอกได้เคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานสร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นมาใหม่ ทำให้ดินแดนประเทศไทยที่มีมาแต่สมัยทวารวดี-ศรีวิชัย มีผู้คนเพิ่มขึ้น และมีเมืองใหญ่น้อยเกิดขึ้นมากมายนั่นเอง
กลุ่มคนจากภายนอกที่เคลื่อนย้ายเข้ามานั้น ส่วนใหญ่มาจากทางตอนใต้ของประเทศจีนและเคลื่อนมาทั้งทางบกและทางทะเล การเข้ามามีทั้งตั้งหลักแหล่งเป็นบ้านเมืองใหม่และผสมผสานกับผู้คนตามบ้านเมืองเก่าที่มีอยู่แล้ว ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองขึ้นอย่างต่อเนื่องและอาจแบ่งออกได้เป็น ๒ ช่วงเวลาด้วยกัน
ช่วงแรกระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ เป็นการเจริญรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมและความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจการเมืองของอาณาจักรเมืองพระนคร เมืองราชธานีกลายเป็นศูนย์กลางนานาชาติและมีปริมณฑลกว้างขวางอันเนื่องจากบรรดาบ้านเล็กเมืองน้อยที่อยู่ภายนอกสวามิภักดิ์ ทำให้ดีราชอาณาเขตกว้างขวางใหญ่โต และมีเครือข่ายความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างกษัตริย์ผู้ครองราชอาณาจักรกับกษัตริย์เจ้านครรัฐใหญ่น้อยอย่างใกล้ชิด ดังเช่น ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์เมืองพระนครกับกษัตริย์เมืองละโว้ ในขณะที่บรรดากษัตริย์ผู้ครองนครรัฐในสยามประเทศมีลักษณะยืดหยุ่น บางเมืองเช่นหริภุญไชยใกล้ชิดกับพุกาม สุโขทัยแม้มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับเมืองพระนครแต่ก็มีความใกล้ชิดทางเศรษฐกิจกับพุกามมากว่านครรัฐอื่นๆ เช่น สุพรรณภูมิ นครศรีธรรมราช มีการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นอิสระกว่า อันเนื่องมาจากมีการค้าขายทางทะเลโดยตรงกับจีน ความเป็นอิสระดังกล่าวนี้ได้ทำให้มีการเคลื่อนไหวของผู้คนจากภายนอก โดยเฉพาะจากตอนใต้ของประเทศจีนเคลื่อนย้ายลงมาตามเส้นทางการค้าเข้ามาทั้งค้าขายและตั้งถิ่นฐาน ทำให้เกิดบ้านเล็กเมืองน้อยเพิ่มขึ้น อาจกล่าวได้ว่าการเคลื่อนย้ายของผู้คนในยุคนี้มีจำนวนมากและหลากหลายทางชาติพันธุ์ ที่ทำให้เกิดคนรุ่นใหม่ขึ้นในสุวรรณภูมิทั้งหมดก็ได้
โดยเฉพาะสยามประเทศนั้น เมืองใหม่และคนรุ่นใหม่เกิดขึ้นมากมายกว่าที่อื่น อันเนื่องมาจากการเคลื่อนย้ายของผู้คนที่มาทั้งทางบกและทางทะเล การปรากฏตัวของคนรุ่นใหม่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์นั้นแลเห็นได้ชัดเจนในพุทธศตวรรษที่ ๑๙ นั่นคือ การเกิดกลุ่มอำนาจใหม่ขึ้นมาแทนที่กลุ่มเก่า ซึ่งเห็นได้จากการเปลี่ยนราชวงศ์ของกษัตริย์และการหมดความสำคัญของเมืองที่เคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรใหญ่ เช่น พุกามและเมืองพระนคร และเมืองที่เป็นนครรัฐ เช่น ละโว้ หริภุญชัย นครศรีธรรมราช เป็นต้น การแพร่หลายของพุทธศาสนาเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์ที่เห็นได้จากรูปแบบศิลปสถาปัตยกรรมของศาสนสถานตามเมืองสำคัญๆ ต่างๆ โดยเฉพาะพระบรมธาตุเจดีย์และการเกิดตำนานพงศาวดารที่กล่าวถึงการสร้างพระบรมธาตุและเมืองโดยกษัตริย์ในตำนาน
กษัตริย์ในตำนานดังกล่าวนี้อาจจะมีตัวตนจริงหรือไม่ก็ได้ แต่เป็นสิ่งที่ผู้คนตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๑ ลงมาสร้างขึ้นให้เป็น ผู้นำทางวัฒนธรรม [culture hero] เพื่ออธิบายประวัติความเป็นมาของผู้คนในแต่ละท้องถิ่นและภูมิภาคที่เป็นบรรพบุรุษของพวกตน ซึ่งนับเนื่องเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีรากเหง้ามาจากการเคลื่อนย้ายของผู้คนตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๗ ลงมา อาจกล่าวได้ว่า หลักฐานจากภายในที่กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของผู้คนในพื้นที่สยามประเทศตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๗ ลงมานั้นไม่มีหลักฐานทางเอกสารรองรับ หากเป็นเรื่องของการจดจำแล้วเล่ากันลงมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๑ จึงมีการรวมมาบันทึกเป็นตำนานพงศาวดารขึ้น และดูเหมือนสิ่งสำคัญที่น้ำหนักมากกว่าสิ่งอื่นก็คือ เรื่องของภาษาที่ใช้กันในบรรดาคนหมู่มากทั้งเก่าและใหม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากภาษาเดิมๆ ที่มักเป็นภาษาบาลีสันสกฤต มอญและเขมร มาเป็นภาษาไทย จนทำให้เกิดความเข้าใจกันอย่างผิดๆในปัจจุบันว่า ภาษาไทยเป็นภาษาของชาติไทที่อพยพลงมาจากตอนใต้ของประเทศจีน แล้วเข้ามามีอำนาจแทนชนชาติเก่าที่เคยมีอำนาจในสุวรรณภูมิและสยามประเทศมาก่อน ดังนั้น การที่คนในดินแดนสยามหรือประเ
สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ. กลุ่มจัดตั้งพิพิธภัณฑ์
นิทรรศการ ชุด เส้นทางสู่รัสเซีย (Passage to Russia)
Part of แผนผังและภาพถ่ายนิทรรศการ
วันที่ 20-29 ตุลาคม 2548 บริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) ร่วมกับสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ ได้จัดนิทรรศการ ชุด เส้นทางสู่รัสเซีย (Passage to Russia) เพื่อแสดงประวัติความเป็นมาและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและประเทศรัสเซีย ซึ่งยาวนานมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เนื่องในวโรกาสวันปิยะมหาราช และการเปิดเส้นทางบินใหม่สู่กรุงมอสโก สหพันธรัฐรัสเซีย ของการบินไทย โดยนิทรรศการ "้เส้นทางสู่รัสเซีย" จัดขึ้น ณ ชั้น G เซ็นทรัล เวิลด์ พลาซ่า
นิทรรศการ ชุด Please mind the gap (พ.ศ. 2555)
Part of แผนผังและภาพถ่ายนิทรรศการ
Part of แผนผังและภาพถ่ายนิทรรศการ
การบินไทยและสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ ร่วมจัดนิทรรศการ River of Life นิทรรศการนี้นำเสนอเรื่องราวความสำคัญของแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีความผูกพันธ์ใกล้ชิดกับคนไทยมาช้านาน และเป็นแม่น้ำสายน้ำสำคัญแห่งประวัติศาสตร์ชาติไทย
นิทรรศการ ชุด ประสบการณ์หูสู่อาเซียน (พ.ศ. 2558)
Part of แผนผังและภาพถ่ายนิทรรศการ
นิทรรศการ ชุด ท่าเตียน กรุงเทพฯ บทที่ 1 (พ.ศ. 2557)
Part of แผนผังและภาพถ่ายนิทรรศการ
นิทรรศการ ชุด กินของเน่า (พ.ศ. 2555) 10 กรกฎาคม - 4 พฤศจิกายน 2012 (ปิดวันจันทร์)
Part of แผนผังและภาพถ่ายนิทรรศการ
นิทรรศการชั่วคราวเรื่อง “กินของเน่า”
เพื่อนำเสนอเรื่องราวของการถนอมอาหารสำหรับการบริโภคที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณและยังสืบทอดถึงปัจจุบัน
วัฒนธรรมการกิน “ของเน่า” นั้น เป็นการใช้ความรู้และภูมิปัญญาในการถนอมอาหารผู้คนในสมัยก่อนค้นพบวิธีการนำวัตถุดิบรอบตัวจำพวก เกลือ ข้าว น้ำตาลบวกกับความช่างคิดช่างสังเกต และทดลอง จนเป็นอาหารที่มีรสชาติอร่อยกลมกล่อม ทั้งกะปิ ปลาร้า น้ำปลา
ปลาส้ม ถั่วเน่า และผักดองนานาชนิด
การกิน “ของเน่า” มีอยู่ทั่วโลก แต่รูปร่างหน้าตา กลิ่น และรสชาติแตกต่างกันออกไป
ตามวัตถุดิบและภูมิศาสตร์ นอกจากนิยมบริโภคกันแล้ว ยังมีการใช้ของเน่าในพิธีกรรมทางศาสนาและกิจกรรมสำคัญๆ
อีกด้วย
นิทรรศการ ชุด เรื่องหนักหัว (พ.ศ. 2555)
Part of แผนผังและภาพถ่ายนิทรรศการ
เรื่องหนักหัว
มิวเซียมสยาม สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ จัดนิทรรศการชั่วคราว "เรื่องหนักหัว" เพื่อเปิดมุมมองใหม่และค้นหาตัวตนของคนไทย นำเสนอเรื่องราวของ "หมวก" เครื่องศิราภรณ์" และ "เครื่องประกอบศีรษะ" เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวและความเป็นมาของผู้คนที่อาศัยอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิ ผ่านหมวกมากมายหลากหลายชนิดที่ถูกนำไปสวมใส่อยู่บนหัว ซึ่งล้วนแต่มีบทบาทและความสำคัญในแง่มุมต่างๆ ทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง โดยนิทรรศการ "เรื่องหนักหัว" เป็นนิทรรศการรูปแบบใหม่ ที่จะแทรกเข้าไปอยู่ในนิทรรศการถาวร "เรียงความประเทศไทย" ตามห้องต่างๆ ภายในมิวเซียมสยามอย่างกลมกลืน และสอดคล้องกับช่วงยุคสมัยนั้น
ห้องเปิดตำนานสุวรรณภูมิ
นำเสนอเรื่องของ “หน้ากาก ตัวแทนแห่งผีและพิธีศักดิ์สิทธิ์” ที่ใช้ในพิธีกรรมขอฝนของคนยุคก่อน เป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้อ้อนวอนธรรมชาติ ให้ช่วยดลบันดาลความอุดมสมบูรณ์ เพราะพวกเขารู้จักการทำนาปลูกข้าวและเริ่มตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชน ภาพเขียนสีบนผนังถ้ำที่พบได้ในสถานที่ต่างๆ ในประเทศไทย รวมไปถึงหน้ากากที่ใช้ในพิธีกรรมที่ยังคงมีการปฏิบัติสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เช่น การละเล่นผีตาโขน จังหวัดเลย และพิธีกรรมเต้นรำใส่หน้ากากของชนเผ่าในเกาะบอร์เนียว ประเทศอินโดนีเซีย
หมวกทวาฯ นานาชาติ
สมัยทวารวดี นิทรรศการได้นำเสนอ “หัวปูนปั้นประดับฐานสถูป” โดยใช้ชื่อเรื่องว่า “หมวกทวาฯ นานาชาติ” ที่พบในเมืองโบราณแห่งต่างๆ ซึ่งเป็นยุคที่ประเทศอินเดียมีอิทธิพลอย่างมากไม่ว่าจะเป็นเรื่องศาสนา การค้าขาย และเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ราชสำนักไทยสยามก็มี “ขันที” ขุนนางในสมัยอยุธยาสวม “หมวกเครื่องแบบ” ชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า “ลอมพอก” คาดว่าได้รับอิทธิพลมาจากขันทีชาวเปอร์เซียที่เคยเข้ามาปฏิบัติงานในราชสำนักฝ่ายใน ด้วยรูปทรงที่แปลกตาจึงเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ ปัจจุบันเรายังคงได้เห็น “พระยาแรกนา” ใส่ลอมพอกในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญหรือแม้แต่นาคก็ใส่เข้าพิธีบรรพชา
ชฎากับอัตลักษณ์ของความเป็นไทย
ค้นหาคำตอบว่าชฎาเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทยจริงหรือไม่ รวมไปถึงเรื่องราวของ “เลดี้กาก้า” กับชฎาที่ตกเป็นข่าว ที่ใส่โชว์บนคอนเสิร์ตในประเทศไทย ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังเป็นที่ถกเถียงในวงกว้าง ถึงความเหมาะสมถูก-ผิดกันต่อไป
ในตอนนี้จะมีสักกี่คนสำนึกรู้ว่า“ชฎา”คือสิ่งที่ถูกใช้เป็นตัวแทนสถาบันพระมหากษัตริย์ และใช้ในการแสดงมหรสพทางประเพณีไทยมาช้านาน นั่นเท่ากับว่ามูลค่าแห่งความสำคัญของชฎา มิใช่เพียงเครื่องแสดงอัตลักษณ์ แต่มันคือวัฒนธรรมอันล้ำค่าของคนไทย
สุภาพบุรุษชาวสยามกับความศิวิไลซ์
การเข้ามาของ “ฝรั่ง” นักล่าอาณานิคมจากประเทศยุโรป ทำให้สยามต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เจ้านายในสมัยรัชกาลที่ ๔-๕ ต่างทรงปรับตัวให้ทันกระแสของโลก แฟชั่นสวมหมวกซึ่งเป็นตัวชี้วัดความเป็น “สุภาพบุรุษ” ของชาวตะวันตกในยุคนั้น จึงถูกราชสำนักสยามนำมาใช้เป็นเครื่องมือหนึ่งในการแสดงความ “ศิวิไลซ์”
และเป็นที่รู้กันว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรด “โบวเลอร์แฮ็ต” มาก ถึงแม้ว่าหมวกดังกล่าวจะเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นกรรมาชีพชาวเมืองผู้ดีก็ตาม
เกี่ยวข้าวก็เย็นได้ ถ้าเข้าใจธรรมชาติ
“งอบ” ภูมิปัญญาเกษตรกรไทยไม่ว่าจะเกี่ยวข้าว พายเรือ หรือเมื่อต้องออกแดดทุกครั้งชาวนา แม่ค้า หรือคนไทยอย่างเราๆ ต่างก็ต้องพึ่งพาหมวกครอบจักรวาลใบนี้ ประดิษฐกรรมสวมหัวที่ชี้ให้เห็นว่าบรรพบุรุษของเราก็เป็นเลิศด้านวิศวกรรมศาสตร์ ในการสานงอบ ที่แสดงถึงความเข้าใจในหลักการระบายอากาศเป็นอย่างดี เป็นเทคนิคเดียวกับการปลูกเรือนให้อยู่สบายในสภาพอากาศร้อนและชื้น
ราวกับว่า “มาลา” จะ “นำไทย” สู่ความเป็นอารยะได้เช่นนั้นหรือ
การปฏิวัติขนาดใหญ่ เกิดขึ้นในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ท่านผู้นำเชื่อว่า การแต่งกายเยี่ยงตะวันตกนั้น จะเป็นหนทางหนึ่งในการนำชาติไทย รุดหน้าเช่นอารยธรรมประเทศ มีการออกกฎบังคับให้ประชาชนชาวไทย สวมหมวก ทุกคราวที่ออกจากบ้าน โดยมีการแต่งบทเพลงชักชวนให้คนไทยสวมหมวกอย่างเพลง ‘สวมหมวกไทย’ ขับร้องโดย 'มัณฑนา โมรากุล'
มงกุฎนางงาม สาวไทยในยุคสงครามเย็น
สถานะและบทบาทระหว่างสตรีกับการเมืองในสมัยทุนนิยมยุคสงครามเย็น ผ่านมงกุฎนางงามจักรวาลคนแรกของประเทศไทย อาภัสรา หงสกุล จนกลายเป็นกระแส “อาภัสราฟีเวอร์” ที่สาวไทยทั้งหลายอยากจะสวมมงกุฎเพื่อให้สวยอย่างอภัสรา ซึ่งเธอนั้นได้รับตำแหน่งมาพร้อมกับการยกพลขึ้นบกของกองทัพอเมริกาที่อู่ตะเภา ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างขั้วการเมืองทุนนิยมกับคอมมิวนิสต์ในสงครามเวียดนาม ในปีค.ศ.1965
นิทรรศการ ชุด ปริศนาแห่งลูกปัด (พ.ศ. 2551)
Part of แผนผังและภาพถ่ายนิทรรศการ
เรียนรู้เรื่องราว ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมผ่านลูกปัดเม็ดจิ๋ว ที่ไขความลับของมวลมนุษยชาติ
สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ. ฝ่ายมิวเซียมสยาม. แผนกพัฒนาและบริหารงานนิทรรศการ
นิทรรศการ ชุด หวยแหลก! แตกประเด็น คนเล่นหวย
Part of แผนผังและภาพถ่ายนิทรรศการ
นิทรรศการจะบอกเล่ากำเนิดความเป็นมาของหวย ลอตเตอรี่ และสลากกินแบ่ง บอกเล่ากลไกขององค์ประกอบด้านต่างๆ ของระบบ ตั้งแต่ ด้านพ่อค้าคนกลาง ยี่ปั๊ว หรือเสือกองสลากในอดีต ที่เป็นผู้กำหนดตลาดของสลากกินแบ่ง รวมไปถึงมีส่วนสำคัญมากในการจำหน่ายสลากด้านกลุ่มผู้ค้าเร่
สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ. ฝ่ายมิวเซียมสยาม. แผนกพัฒนาและบริหารงานนิทรรศการ
นิทรรศการ ชุด นิเวศวัฒนธรรมไตรภาค
Part of แผนผังและภาพถ่ายนิทรรศการ
Part of แผนผังและภาพถ่ายนิทรรศการ
นิทรรศการหมุนเวียน ชุด พระนคร “สามยอด-วังบูรพา-พาหุรัด” ก้าวย่างบนเส้นทางอย่างตะวันตก นิทรรศการหมุนเวียนชุดใหม่จาก มิวเซียมสยาม ที่พาทุกคนไปรู้จักกับย่าน “สามยอด-วังบูรพา-พาหุรัด” ที่ในอดีต ที่เคยได้ชื่อว่าเป็น “ศูนย์กลาง” แห่งใหม่ของพระนคร ในช่วงที่อาณาจักรสยามต้องเผชิญหน้ากับการคุกคามจากโลกตะวันตก พื้นที่แห่งนี้จึงเปรียบเหมือนสถานบ่มเพาะการปรับตัวสู่โลกสมัยใหม่ ให้สยามอยู่รอดและผสานรอยต่อ พร้อมเข้าสู่สังคมตะวันตกอย่างเต็มตัวเช่นในปัจจุบัน
นิทรรศการแบ่งออกเป็น 7 โซน ประกอบด้วย
โซนที่ 1 : มีอะไรในแผนที่
บอกเล่าเรื่องราวความเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการของย่านการค้าแห่งนี้ นับตั้งแต่ถนนเจริญกรุงตัดขึ้นมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ความเปลี่ยนแปลงของเมืองบางกอกที่เชื่อมโยงถนนสายต่าง ๆ เชื่อมผู้คนจากต่างถิ่นให้เข้ามาหากัน ผ่านเทคนิคการ Mapping
โซนที่ 2 : ช่างฝรั่ง กับวังสยาม
โซนที่จะพาผู้ชมไปรู้จักกับ “ช่างฝรั่ง” นายโจอาคิม แกรซี เบื้องหลังงานออกแบบของสถาปัตยกรรมและสิ่งก่อสร้างในย่านนี้ ที่พลิกพระนครให้เป็นฝรั่งได้ด้วยสายตา
โซนที่ 3 : ช่างฝรั่ง โรงชักรูป
การเข้ามาของช่างชักรูปชาวต่างชาติ ที่หมุนเวียนกันเข้ามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ก่อให้เกิดกระแสของการบันทึกภาพของชนชั้นนำชาวสยามและการถือกำเนิดขึ้นของสตูดิโอชักภาพในตำนานห้างโรเบิร์ต เลนซ์
โซนที่ 4 : หมอยาฝรั่ง ห้างบีกริม
บอกเล่าเรื่องราวของห้างสุดโอ่อ่า ที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมย่านประตูสามยอด ภายใต้การดูแลหมอยาฝรั่ง นายอดอล์ฟ ลิงค์ ได้นำพาสินค้านานาชนิดมาสู่พระนคร พร้อมการเกิดขึ้นของ “ร้านขายยาสยาม” และต้นกำเนิดของย่านขายเครื่องจักร, กล้อง และปืน
โซนที่ 5 : ห้างสรรพสินค้า พ่อค้านานาชาติ
จุดเริ่มต้นของห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้น ราวปลายรัชกาลที่ 6 คือ ช่วงเวลาเดียวกันของกระแส “เห่อของนอก” จากการหลั่งไหลเข้ามาของสินค้านานาชาติทั้งจีน, ฝรั่ง, แขกมุสลิมดาวูดี โบห์รา และแขกสิกข์ขายผ้า เข้ามาขายในพระนครจนติดอกติดใจชาวสยาม
โซนที่ 6 : มหรสพฝรั่ง โรงหนังนำสมัย
เรื่องราวของรูปแบบความบันเทิงจากตะวันตก ที่เข้ามามีอิทธิพลกับชีวิตของชาวพระนคร ให้เรียนรู้เรื่องฝรั่ง และความเป็นไปของโลกผ่านภาพยนตร์
โซนที่ 7 : ก้าวย่างอย่าง “สามยอด”
การมาถึงของรถไฟฟ้ามหานคร (MRT) กับเรื่องราวบทต่อไปของย่านนี้ กับความเปลี่ยนแปลงใหญ่อีกครั้ง “สามยอด-วังบูรพา-พาหุรัด”
นิทรรศการ ชุด พระนคร "สามยอด-วังบูรพา-พาหุรัด" ประกอบด้วย 1. พระนคร ON POSTCARD 2. พระนคร ON FOOT 3. พระนคร ON THE MOVE เปิดให้เข้าชมระหว่างวันที่ 5 พฤศจิกายน 2562 ถึง 1 มีนาคม 2563 เวลา 10.00 - 18.00 น. ณ อาคารอเนกประสงค์ มิวเซียมสยาม
สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ. ฝ่ายมิวเซียมสยาม. แผนกพัฒนาและบริหารงานนิทรรศการ
นิทรรศการ ชุด หวยแหลก! แตกประเด็น คนเล่นหวย
Part of แผนผังและภาพถ่ายนิทรรศการ
นิทรรศการหมุนเวียน ชุด "หวยแหลก! แตกประเด็น คนเล่นหวย" บอกเล่ากำเนิดความเป็นมาของหวย ลอตเตอรี่ และสลากกินแบ่ง บอกเล่ากลไกขององค์ประกอบด้านต่างๆ ของระบบ ตั้งแต่ด้านพ่อค้าคนกลาง ยี่ปั๊ว หรือเสือกองสลากในอดีตที่เป็นผู้กำหนดตลาดของสลากกินแบ่ง รวมไปถึงการจำหน่ายสลากกินแบ่ง
ประเด็นที่หนึ่ง : เริ่มจากการเรียนรู้กำเนิดความเป็นมาของหวย ก ข ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ในยุคที่เกิดข้าวยากหมากแพง เงินจากหวย ก ข จำนวนมากส่งเข้าหลวงสามารถช่วยให้เศรษฐกิจของสยามดีขึ้นและเป็นเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของสยามต่อเนื่องมาจนกระทั่งถูกยกเลิกในสมัยรัชกาลที่ 6 ส่วนลอตเตอรี่ เป็นการเสี่ยงโชคใหม่ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้นายเฮนรี่ อาลาบาศเตอร์ ออกรางวัลเพื่อระดมเงินทุนให้กับบรรดาพ่อค้าที่นำสินค้ามาจัดแสดงในการจัดพิพิธภัณฑ์ที่ตึกคองคอเดียในพระบรมมหาราชวัง การระดมทุนโดยออกลอตเตอรี่ ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการและรูปแบบมาเรื่อย จนกลายเป็นสลากกินแบ่งรัฐบาลที่สร้างรายได้ให้กับรัฐจำนวนมหาศาล
ประเด็นที่สอง : แสดงให้เห็นโครงสร้างของการกระจายสลาก กลไกการสร้างมูลค่าของสลาก สลากจำนวน 2 ใน 3 กระจายสู่ผู้ค้ารายย่อยที่ได้ลงทะเบียนและได้รับการตรวจสอบแล้วว่าเป็นผู้ค้ารายย่อยจริง มีแผงค้าเป็นของตนเอง ผู้ค้าเหล่านี้จะแจ้งความจำนงล่วงหน้าว่าในงวดถัด ๆ ไป จะมารับซื้อไปขายกี่ฉบับ ช่วยให้สำนักงานสลากคำนวณได้ว่า ในแต่ละงวดต้องพิมพ์สลากกี่ใบ โดยที่ไม่เหลือมากจนขาดทุน จากโครงสร้างตลาดที่ไม่สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคและผู้ค้าเร่บางส่วน สบช่องให้เกิด ยี่ปั๊ว หรือผู้รวบรวมสลากเพื่อนำมาจัดชุด โดยแต่ละชุดจะมีเลขสลากเหมือนกัน ทำให้เมื่อถูกรางวัล ชุดนั้นก็จะได้รับเงินเป็นทวีคูณ
ประเด็นที่สาม : คนขายหวย นำเสนอวิถีชีวิตและเทคนิคในการขายหวยของผู้ค่าเร่ อาชีพเร่ขายหวยหรือลอตเตอรี่นี้เพิ่งเริ่มมีมาเมื่อ 30 ปีก่อน ชาวบ้านโพนงาม อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย มาเดินขายลอตเตอรี่ที่กรุงเทพ ฯ ถือเป็นจุดกำเนิดของ "หวยเดินไปหาคนซื้อ" คนเร่ขายลอตเตอรี่จะปรากฏตัว ณ จุดที่ผู้คนรวมตัวกัน ไม่ว่าจะ BTS MRT ห้างสรรพสินค้า หรือ แม้แต่ในหมู่บ้าน ไม่ซ้ำรายกันเลยทีเดียว วิถีชีวิตของผู้ค้าเร่ขายลอตเตอรี่ ขึ้นอยู่กับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และ โครงสร้างการตลาดของลอตเตอรี่ในแต่ละงวด พวกเขาเป็นไม้สุดท้ายที่นำส่งลอตเตอรี่มายังมือของนักเสี่ยงโชค
ประเด็นที่สี่ : คน เล่น หวย +ความเชื่อ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำเสนอความเชื่อ ความหวังของคนเล่นหวย เหตุใด เราถึงผูกโยงสิ่งศักดิ์สิทธิ์กับหวย ซึ่งเป็นเรื่องสถิติ การคำนวณ เช่น หวยย่านาค หวยไอ้ไข่ หวยคำชะโนด ฯลฯ หรือเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ เป็นแหล่งเพิ่มความหวังและกำลังใจที่อยู่กับสังคมไทยมาช้านาน ในทุกเรื่องตั้งแต่เรื่องส่วนตัว ไปจนถึงการชะตากรรมของบ้านเมือง
สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ. ฝ่ายมิวเซียมสยาม. แผนกพัฒนาและบริหารงานนิทรรศการ
นิทรรศการ ชุด 100 ปี ตึกเรา : ตึกเก่า เล่าใหม่
Part of แผนผังและภาพถ่ายนิทรรศการ
นิทรรศการ ชุด ตึกเก่า เล่าใหม่ (New Take on Old Building) : 100 ปีตึกเรา ร้อยเรื่องราว เล่าเรื่องตึก (A Century of Our Building) เป็นนิทรรรศการชั่วคราวที่จัดแสดง ณ มิวเซียมสยาม ระหว่างวันที่ 23 เมษายน 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 เนื่องในวาระที่อาคารมิวเซียมสยาม(กระทรวงพาณิชย์เดิม) มีอายุครบ 100 ปี ในปี พ.ศ. 2565 อาคารหลังนี้สร้างขึ้นเป็นสำนักงานของกระทรวงพาณิชย์ในปี พ.ศ. 2465 ออกแบบก่อสร้างโดยกรมโยธาธิการ ผู้รับผิดชอบโครงการนี้ คือ นายมารีโอ ตามาญโญ หัวหน้ากองสถาปัตย์ และนายเอมีลีโอ โจวันนี กอลโล หัวหน้าวิศวกร
หนึ่งศตวรรษของการเปลี่ยนผ่าน จากการออกแบบเมื่อ 100 ที่แล้ว สู่กระทรวงพาณิชย์ถึงมิวเซียมสยาม ตึกเก่านี้จึงเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายให้เล่าขานมากมาย
ปี ๒๕๖๕ นี้ "มิวเซียมสยาม" เชิญชวนทุกท่านมาร่วมเฉลิมฉลองและรำลึกถึงอาคารซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของ "เรา" โบราณสถานอันสง่างามหลังนี้ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดใช้งานเป็น "กระทรวงพาณิชย์" เมื่อปี ๒๔๖๕ และมิวเซียมสยามได้รับมอบดูแลต่อเพื่อจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ ตึกมิวเซียมสยาม(กระทรวงพาณิชย์เดิม) มีอายุครบ ๑ ศตวรรษ หรือ ๑๐๐ ปีในปี 2565 จากการออกแบบของนายช่างชาวอิตาลี สู่กระทรวงพาณิชย์ และมิวเซียมสยาม เป็น ๑๐๐ ปี ของความทรงจำของผู้คนที่เคยทำงาน หรือมาใช้บริการที่นี่ เป็นตึกเก่าที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายให้เล่าขาน
เราขอเชิญทุกท่านมาร่วมบันทึกความทรงจำกันในนิทรรศการ "ตึกเก่าเล่าใหม่"
"ตึกเรา" แห่งนี้ ไม่ได้หมายรวมถึง "เรา" ที่เป็นชาว "มิวเซียมสยาม" เท่านั้น แต่โอบรับเอา "สาวก" มิวเซียมสยามทุกท่าน รวมไปถึงเยาวชนและประชาชนไทยทั่วไป ได้มีส่วนมาเป็นเจ้าของ "ตึกเรา" ร่วมกัน
สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ
นิทรรศการภาพถ่าย ชุด หนองคาย-เวียงจันทน์ ร้อยสัมพันธ์สองฝั่งโขง
Part of แผนผังและภาพถ่ายนิทรรศการ
นิทรรศการ ชุด เครื่องรางของขลัง (พ.ศ. 2553)
Part of แผนผังและภาพถ่ายนิทรรศการ
นิทรรศการ ชุด เครื่องรางของขลัง นำเสนอเรื่องราวของระบบความเชื่อท้องถิ่นของกลุ่มคนในสุวรรณภูมิ ซึ่งรวมถึงคนไทย ที่เกิดจากการหลอมรวมกับความเชื่อทางศาสนาจนเกิดเป็นระบบความเชื่อที่ค่อน ข้างซับซ้อนและฝังแน่น ระบบความเชื่อเหล่านี้สามารถแสดงออกมาในรูปของเครื่องรางของขลังชนิดต่างๆ ซึ่งบางครั้งอาจถูกมองว่าเป็นแต่เพียงเรื่องของความงมงาย แต่ความเชื่อเหล่านี้ยังมีความเกี่ยวเนื่องกับหลักธรรมทางศาสนา
สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ. ฝ่ายวิชาการ. แผนกวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้
นิทรรศการ ชุด จับไมค์ใส่ขนนก ปรากฎการณ์ลูกทุ่งไทย (พ.ศ. 2553)
Part of แผนผังและภาพถ่ายนิทรรศการ
ปรากฏการณ์ความคิดสร้างสรรค์ของลูกทุ่งไทย พร้อมไขความสำเร็จที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 50 ปีที่ผ่านมา ผ่าน 5 ยุคแห่งเพลงลูกทุ่งไทย ที่ได้สร้างศิลปินในตำนานไว้หลายท่าน อาทิ สุรพล สมบัติเจริญ, ยอดรัก สลักใจ, พุ่มพวง ดวงจันทร์ ฯลฯ รวมถึงการจัดแสดงของหายากในวงการลูกทุ่ง
สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ. ฝ่ายวิชาการ. แผนกวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้
นิทรรศการ ชุด ไทยทำ...ทำทำไม (พ.ศ. 2560)
Part of แผนผังและภาพถ่ายนิทรรศการ
ความรู้ในการประดิษฐ์สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ จนเกิดเป็น “ภูมิปัญญา” แบบไทยๆ ขึ้นมา ถึงแม้ว่าของเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งประดิษฐ์ง่ายๆ ที่ไม่ได้ซับซ้อนหรือแสดงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์มากมายก็ตาม แต่ของ “ไทยทำ” กลับแสดงให้เห็นว่าคนไทยเราอยู่อาศัยกับธรรมชาติได้อย่างเป็นสุข และเก่งนักในการปรับตัว ให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบตัว
สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ. ฝ่ายมิวเซียมสยาม. แผนกพัฒนาและบริหารงานนิทรรศการ
นิทรรศการ ชุด Ola Siao 500 ปี ไทย-โปรตุเกส (พ.ศ. 2555)
Part of แผนผังและภาพถ่ายนิทรรศการ